ออนซอนนครพนม ท่องเมืองอีสานในม่านหมอก

นครพนมเป็นจังหวัดเล็กๆ ซ่อนตัวอยู่หลังเทือกเขาภูพาน ส่วนฝั่งซ้ายติดแม่น้ำโขงและเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ถ้านั่งเครื่องบินก็ใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น

มาถึงนครพนมทั้งทีจะไม่ไปสักการะ พระธาตุพนม ก็คงเหมือนยังมาไม่ถึง เราจึงนั่งรถไปวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร สักการะพระธาตุพนมซึ่งภายในบรรจุพระอุรังคธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จึงเดินชมรอบๆ วัด มาสะดุดตากับตุ๊กตาหินปีนักษัตรทั้ง 12 ราศี ที่นอกจากหน้าตาน่ารักแล้ว ยังมีคำกลอนสอนใจให้อ่านเพลินๆ อีกด้วย

ได้เวลาพอเหมาะเราจึงกลับเข้าเมือง แต่ระหว่างทางเหลือบเห็นป้ายบอกทางไปพระธาตุเรณู อำเภอเรณูนคร ชื่อนี้ฟังดูคุ้นๆ ในเพลง “หนาวลมที่เรณู” ที่ว่า “เรณูนคร ถิ่นนี้ช่างมีมนต์ขลัง ได้พบนวลนาง ดั่งเหมือนต้องมนต์แน่นิ่ง….” อาการอยากรู้ว่าเรณูนครจะมีมนต์เสน่ห์อย่างไร จึงจัดการเลี้ยวรถไปไหว้พระธาตุเรณู และพระองค์แสน แล้วเดินเล่นรอบๆ วัดธาตุเรณู มีร้านขายผ้าทอสวยๆ จากกลุ่มแม่บ้านราคาไม่แพง ทั้งผ้าขาวม้าผืนละ 50 บาท ผ้าถุงทอมือผืนละ 100 บาท หรือจะเป็นกระเป๋าผ้าก็แค่ 10 – 20 บาทเท่านั้น เราเลยอุดหนุนสินค้าชุมชนกันสนุกสนาน และได้เข้าใจว่าทำไมใครมาเรณูนครก็ต้องชื่นชม เพราะไม่ว่าจะหันไปคุยกับใคร แต่ละคนก็ยินดีตอบแบบไม่สงวนคำ อีกทั้งยังมีอัธยาศัยดียิ่ง ทักทายไถ่ถามเหมือนเราเป็นลูกหลานอย่างไรอย่างนั้น

คุยกับคุณย่า คุณยายชาวผู้ไท ได้สักพักจึงขอตัวกลับเพื่อไป บ้านลุงโฮ หรือบ้านพักของท่านโฮจิมินห์ สมัยลี้ภัยทางการเมืองมาอยู่ที่จังหวัดนครพนมนานถึง 7 ปี บ้านหลังนี้ชาวเวียดนามนิยมมาเที่ยวกันมาก เพราะถือเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์การกอบกู้เอกราช หน้าบ้านมีต้นมะพร้าวและต้นมะเฟืองที่ลุงโฮปลูกไว้เหลืออยู่ และลูกมะพร้าวของลุงก็มีคนอยากได้ไปเป็นที่ระลึก จนกลายเป็นของหายาก

   ตกเย็นแวะไปนั่งเล่นริมแม่น้ำโขง มีคนมาออกกำลังกายที่ลานอเนกประสงค์กันมากหน้าหลายตา นั่งชมวิวจนแสงแห่งวันหมดไปจึงได้กลับที่พักเตรียมตัวซิตี้ทัวร์พรุ่งนี้กันดีกว่า

เราเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการไปกินอาหารเช้าสไตล์นครพนม ด้วยเมนูไข่กระทะ ขนมปังยัดไส้ ก๋วยเตี๋ยวญวน ที่ร้านดังประจำเมืองที่ใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องแวะกิน ทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว แล้วจึงออกตระเวนทัวร์บนถนนสุนทรวิจิตร เลียบแม่น้ำโขง

เริ่มจากวัดมหาธาตุ ที่สร้างตั้งแต่พ.ศ.1150 ภายในวัดมีพระธาตุนคร บรรจุพระบรมสารีริกธาตุให้ประชาชนได้สักการะ

วัดโอกาสศรีบัวบาน และตลาดอินโดจีน ฝั่งตรงข้ามเป็นด่านชายแดนข้ามไปประเทศลาวได้ เรือออกตั้งแต่ 8.00 น – 18.00 น. ใครที่ไม่มีพาสปอร์ตไปก็ไม่ต้องกังวล เพราะมีบริการทำบัตรผ่านแดนชั่วคราว ทั้งถ่ายรูป ทำบัตร ถ่ายสำเนาให้เสร็จสรรพ ใช้เวลาไม่นานเราก็ได้นั่งเรือโกอินเตอร์ไปเที่ยวเมืองนอกแล้ว

อ้อ…แต่บัตรผ่านแดนนี้ใช้เที่ยวได้เฉพาะบ้านท่าแขก แขวงคำม่วนเท่านั้นนะคะ จะไปเที่ยวไกลเกินกว่านี้ไม่ได้ ที่เที่ยวฝั่งลาวก็มีทั้งตลาด วัด ถ้ำ จนถึงตึกรามบ้านช่องให้เดินชม ช่วงเย็นมีร้านอาหารริมแม่น้ำโขงเปิดให้บริการจะนั่งกินข้าวพร้อมดื่มด่ำบรรยากาศยามเย็นก็ได้ กลับมาถึงฝั่งไทยมองไปด้านข้างท่าเรือด่านชายแดนมีบันไดนาคคู่ ว่ากันว่าหากเป็นคู่รักแล้วมาเดินบันไดนี้ด้วยกันจะได้แต่งงานแน่นอน ฟันธง!

ยืนฝันกลางวันอยู่ข้างบันไดนาคคู่สักพัก เราก็ตัดอกตัดใจเดินไป หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์ สร้างโดยชาวเวียดนามตั้งแต่พ.ศ. 2503 เพื่อมอบให้แก่ชาวนครพนมเป็นที่ระลึกเมื่อย้ายกลับประเทศบ้านเกิดเมืองนอน แล้วจึงไป พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นอาคารที่ก่อสร้างแบบฝรั่งเศส หรือเฟร้นช์ โคโลเนียล ควบคุมการก่อสร้างโดยนายช่างญวนชื่อ นายกูบา วิจิตรเจริญ ชาวบ้านจึงเรียกอาคารแบบนี้กันว่า “ตึกฝรั่งช่างญวน”

สาเหตุที่มีอาคารสไตล์นี้เพราะในสมัยสงครามอินโดจีน ประเทศของเราต้องการแสดงให้เห็นว่าเรามีอารยธรรมไม่แพ้ชาติตะวันตกที่กำลังล่าอาณานิคมอยู่รอบๆ ประเทศเพื่อนบ้านนั่นเอง และที่นี่ก็เคยเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อเสด็จพระราชดำเนินมาจังหวัดนครพนมด้วย ภายในอาคารจัดแสดงประวัติความเป็นมาของจังหวัดนครพนม ตั้งแต่สมัยยังเป็นอาณาาจักรศรีโคตรบูรณ์จนถึงปัจจุบัน รวมถึงประวัติผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมแต่ละสมัย ชั้นสองจัดแสดงห้องที่พระทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระราชกรณียกิจเมื่อครั้งเสด็จเยี่ยมราษฏรในจังหวัดนครพนม นอกจากนี้ในพิพิธภัณฑ์ยังมีเฮือนเรือไฟ จัดแสดงประวัติความเป็นมาของประเพณีไหลเรือไฟจังหวัดนครพนมที่จัดขึ้นทุกวันออกพรรษาของทุกปี และการสร้างเรือไฟให้ชมด้วย

ตกเย็นหากยังไม่เหนื่อยจนเกินไปต้องนั่งเรือล่องแม่น้ำโขงชมทัศนียภาพสองฟากฝั่งไทย – ลาว นอกจากจะได้นั่งเรือชมวิวแล้ว รับรองว่าคุณจะต้องประทับใจไกด์ผู้บรรยายวิถีชีวิตชาวบ้านและสถานที่ท่องเที่ยวที่ขยันยิงมุขและให้ความรู้เกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ ได้อย่างสนุกสนานน่าฟังเป็นอย่างยิ่ง

หลังการเดินทาง จากที่เคยคิดว่านครพนม ไม่มีอะไร แต่เอาเข้าจริงเมืองแห่งนี้มีอะไรมากกว่าที่คิด ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ประเพณี น้ำใจไมตรีของผู้คน อีกทั้งอากาศก็เย็นสบาย แล้วยังมีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ให้แวะนั่งกิน ดื่ม อย่างสะดวกสบาย เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งการเดินทางที่ประทับใจจริงๆ

 

อ่านเพิ่มเติมในคอลัมน์ Living นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ : 9 ฉบับที่ : 103 เดือน : สิงหาคม 2552