๑.  องค์พระธาตุพนม  อันเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระอุรังคธาตุ ( กระดูกส่วนหัวอก ) ของพระพุทธเจ้า  เป็นพระธาตุเจดีย์คู่บ้านคู่เมือง  มีอายุเก่าแก่มากกว่าสองพันห้าร้อยปี  สร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธา  วิริยะ  อุตสาหะ  และสติปัญญา  ของบรรพชนในสมัยแคว้นศรีโคตบูรเจริญรุ่งเรือง

๒.  พระอุโบสถ  สร้างมาแต่สมัยโบราณโดย  พระยาจันทสุริยวงศ์ ( กิ่ง ) เจ้าเมืองมุกดาหาร  เมื่อ  พ.ศ.  ๒๓๔๙  ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกขององค์พระธาตุพนมคู่กันกับหอพระแก้ว  ได้รื้อบูรณะใหม่  เมื่อ  พ.ศ.  ๒๕๐๐  ขยายยื่นออกมาทางด้านหน้า  ๗  เมตร  ด้านหลังเป็นมุข  ภายในซุ้มเรือนแก้วสำหรับประดิษฐานพระประธาน  ยื่นออกมากว้าง  ๑  เมตร  ศิลปกรรมของพระอุโบสถ เป็นแบบล้านนา
๓.  วิหารหอพระแก้ว  สร้างขึ้นครั้งแรก  ระหว่าง  พ.ศ.  ๒๐๘๒ – ๒๑๐๒  สมัยพระเจ้าโพธิสาราช  กษัตริย์ในราชวงศ์ล้านช้างองค์ที่  ๔๐  แห่งเมืองหลวงพระบาง  ทรงสร้างเอาไว้โดยก่ออิฐถือปูน  เดิมเป็นวิหารใหญ่เรียกว่า “วิหารหลวง” มีการบูรณะปฏิสังขรณ์หลายครั้ง  จนถึงปี  พ.ศ.  ๒๕๑๘  ถูกพระธาตุพนมล้มทับพังยิบเยินเหลือแต่ฐานสูงประมาณ  ๑  เมตรเศษ  ทำให้หอพระแก้วได้รับความเสียหายมาก  ตัวหอพระแก้วยังไม่ได้สร้างขึ้นใหม่มีแต่องค์พระมารวิชัยศาสดาซึ่งเป็นพระประธานในหอพระแก้วประดิษฐาน  เด่นเป็นสง่าหน้าองค์พระธาตุพนม
๔.  วิหารคตรอบองค์พระธาตุพนม  พระธรรมราชานุวัตร ( แก้ว  กนฺโตภาโส ) ได้สร้างขึ้นเมื่อครั้งเป็นพระมหาแก้ว  พ.ศ.  ๒๔๘๑  วิหารนี้มีทั้งหมด  ๑๐๗  ห้อง  ยาวห้องละ  ๓  เมตร  และประตูอีก  ๓  ห้อง  รวม  ๑๑๐  ห้อง  ซุ้มประตูทิศตะวันออก  ด้านหน้าวัด  ๓  ซุ้ม  เฉพาะประตูใหญ่ตัวกลางได้สร้างขึ้นใหม่  เจาะประตูอีก  ๒  ข้าง  วิหารคตด้านทิศตะวันตก  ด้านทิศเหนือและด้านทิศใต้  ก่อประตูใช้เวลาสร้าง  ๑๑  ปี  จึงแล้วเสร็จเมื่อ  ปี  พ.ศ.  ๒๔๙๑
๕.  หอบูชาข้าวพระ  
            รูปลักษณะคล้ายปราสาทผึ้งสมัยโบราณ  ทรงมณฑปศิลปะแบบอีสาน  เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปอยู่ภายในลานพรธธาตุ  ในกำแพงแก้วชั้นที่  ๓  หอบูชาข้าวพระนี้ใช้เป็นที่ถวายข้าวบูชาพระธาตุ  เป็นประเพณีของชาวบ้าน  สร้างในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช  พ.ศ.  ๒๑๐๑ – ๒๑๑๔  มีอยู่  ๒  หลัง  คือ  ด้านทิศตะวันออกและด้านทิศตะวันตก  เฉพาะด้านทิศตะวันตก  ได้จำลองแแบออกไปประดิษฐานที่กำแพงแก้วชั้นนอกด้านทิศเหนือ  ส่วนด้านทิศตะวันออกได้ถูกพระธาตุพนมล้มทับ  พังยับเยินเมื่อครั้งพระธาตุพนมล้มใน  พ.ศ.  ๒๕๑๘

๖.  วิหารพุทธไสยาสน์

            อยู่นอกวิหารคตด้านทิศเหนือ  นอกเขตพุทธาวาส  ใกล้สระน้ำศักดิ์สิทธิ์  ภายในประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์และพระพุทธบาทจำลอง  กล่าวกันว่า  ก่อนที่จะนำพระอุรังคธาตุเข้ามาประดิษฐานในอูบมุงภูกำพร้านั้น  บริเวณนี้เคยเป็นที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุมาก่อน

๗.  เสาหลักศิลาเสมา

            เป็นแบบทวารวดี  กว้างประมาณ  ๑๕  นิ้ว  สูง  ๓  เมตรเศษ  ปักเป็นเขตพระบรมธาตุ  ตรงมุมกำแพงแก้วชั้นนอกทั้ง  ๔  ด้าน  พร้อมรูปสัตว์ประหลากอัจมุขี

๘.  สระน้ำมูรธาภิเษก

            เป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์โบราณเรียกว่า  “บ่อน้ำพระอินทร์”มีบ่อน้ำจืดใสสะอาดอยู่ในป่าตาล  ใกล้หอพระพุทธไสยาสน์  ปัจจุบันทำเป็นเขื่อนไว้โดยรอบ  ถือว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์  ๑  ในจำนวน  ๑๘  แห่ง  ที่เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์นำมาใช้ในพิธีบรมราชาภิเษกให้พระมหากษัตริย์สรงที่เรียกว่า  “สรงมูรธาภิเษก”

            นอกจากสระน้ำแห่งนี้แล้ว  ยังมีสระพังทอง  เป็นสระน้ำโบราณขนาดใหญ่อยู่ตอนหลังอีกแห่งหนึ่ง  โบราณวัตถุอื่น ๆ นอกจากนี้ก็มีรูปปั้นเทพารักษ์อยู่ปลายถนนกุศลรัษฏากร  หน้าวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร  ประตูโขงปลายสะพานวัด  พระเจดีย์พระธาตุพนมจำลอง  และศิลาจารึก  เช่น  ศิลาจารึกเจ้าพระยานคร  บันทึกเหตุการณ์ที่พระยานครหลวงพิชิตราชธานีศรีโคตบูรหลวง  มาบูรณะวัดพระธาตุพนม  เมื่อ  พ.ศ.  ๒๑๕๗  เก็บรักษาไว้ที่เชิงปราสาทหอบูชาข้าวพระด้านหน้าพระธาตุพนม  จึงถูกพระธาตุพนมพังทับด้วย  นอกจากนั้นก็มีจารึกอิฐเปาเรื่องการสร้างพระอุโบ